เชียงใหม่ สายมู ชวนขอพร สุดฮิต

วัดป่าแดด วัดดังของสายมู

วัดป่าแดด วัดดังของสายมู

ช่วงนี้เทรนด์การท่องเที่ยว “สายมู” ยังคงมาแรงไม่มีตกกระแส หลายคนเสาะหาเส้นทางไหว้พระ กราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอพรในเรื่องต่างๆ และที่ “เชียงใหม่” ก็เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่สายมูมุ่งหน้ามา เพราะที่นี่มีวัดดัง และแหล่งขอพรยอดฮิตหลายๆ จุด

ชวนมาขอพรกับ 5 จุดสุดฮิต ที่ “เชียงใหม่” เสริมมงคลให้สายมู
 

พระประธานในวิหารหลวงลายคำ วัดป่าแดด

พระประธานในวิหารหลวงลายคำ วัดป่าแดด

 

พระพิฆเนศภายในหอมหาเทพบูรพาจารย์

พระพิฆเนศภายในหอมหาเทพบูรพาจารย์

 

เข้าไปลอดท้ององค์พระพิฆเนศทางด้านหลังหอมหาเทพบูรพาจารย์

เข้าไปลอดท้ององค์พระพิฆเนศทางด้านหลังหอมหาเทพบูรพาจารย์


ขอพรองค์พระพิฆเนศ วัดป่าแดด
“วัดป่าแดด” เป็นจุดที่หลายๆ คนนิยมมาทำพิธีขอพรจากองค์พระพิฆเนศที่วัดป่าแดด และต่างก็สมหวังกันไปหลายราย ปัจจุบัน ท่านพระครูปลัดนันทวัฒน์ (พระอาจารย์พยุงศักดิ์ ธีรธมฺโม) หรือครูบาคัมภีรธรรม เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าแดด ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ พระวิปัสสนาจารย์ของเมืองเชียงใหม่ที่มีชื่อเสียงรูปหนึ่ง นอกจากท่านจะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนมีสานุศิษย์มากมายแล้ว ท่านยังเป็นที่เจริญศรัทธาเลื่องลือในเลขยันต์วัตถุมงคลสายล้านนา เทียน ตะกรุดที่สืบมาจากครูบาอาจารย์ แผ่นยันต์ล้านนาที่ท่านจารด้วยมือทุกแผ่น ตะกรุดมหาหวาน ที่เหล่าศิลปินดาราในวงการบันเทิงต่างเเสวงหาไว้ครอบครอง นอกจากนี้ เหรียญพระพิคเณศวร์ เหรียญครูบาศรีวิชัย พระพุทธสิหิงค์ลอยองค์ ท้าวเวสสุวรรณ รุ่น 1 รุ่น 1 ตะกรุดสาริกาคู่ และเเมลงภู่คำ ต่อเงิน ต่อทอง ก็เป็นเครื่องรางของมงคลเป็นที่ต้องการของลูกศิษย์ลูกหาที่นิยมชมชอบในสายมูเตลู

นอกจากเครื่องรางของขลังต่างๆ แล้ว คนที่มาเยือนวัดป่าแดดต่างก็ต้องการที่จะมาขอพรกับ "องค์พระพิฆเนศ" เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ ผู้ขจัดอุปสรรคปัญหาทั้งหลาย โดยพระพิฆเนศของวัดป่าแดดแห่งนี้ก็เป็นที่เลื่องลือว่ามีพลังศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก

ใครที่เพิ่งเคยมาครั้งแรกแล้วกลัวจะไหว้ไม่ถูกก็ไม่ต้องกังวล เพราะทางวัดได้เตรียมเอกสารขั้นตอนการไหว้ขอพรให้สัมฤทธิ์ผล พร้อมทั้งของไหว้ต่างๆ ไว้พร้อม โดยองค์พระพิฆเนศนามว่า "อุตรศรีคณปติ" แปลว่า ผู้ประทานความสำเร็จในทางทิศเหนือ ซึ่งสร้างจากโลหะสัมฤทธิ์รมดำ มีสี่พระกร ทรงวัชระ บ่วง งา และถ้วยขนม ประดิษฐานอยู่ภายในหอมหาเทพบูรพาจารย์ หรือวิหารพระพิฆเนศ ซึ่งเป็นอาคารปูนยกพื้นสูงสถาปัตยกรรมล้านนา ภายในทาสีแดงชาดทั้งหมด
 

พระธาตุเจดีย์หลวง วัดเจดีย์หลวง

พระธาตุเจดีย์หลวง วัดเจดีย์หลวง

 

ศาลหลักเมืองและองค์ท้าวเวสสุวรรณ วัดเจดีย์หลวง

ศาลหลักเมืองและองค์ท้าวเวสสุวรรณ วัดเจดีย์หลวง

 

ท้าวเวสสุวรรณ วัดเจดีย์หลวง

ท้าวเวสสุวรรณ วัดเจดีย์หลวง


ขอพรท้าวเวสสุวรรณ วัดเจดีย์หลวง
“วัดเจดีย์หลวง” ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเชียงใหม่ สร้างขึ้นในรัชสมัยพญาแสนเมืองมา พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย ไม่ปรากฏปีที่สร้างแน่ชัด สันนิษฐานว่าวัดแห่งนี้น่าจะสร้างในปี พ.ศ.1928 - 1945 และมีการบูรณะมาหลายสมัย

ภายในวัดมี “พระธาตุเจดีย์หลวง” ที่ว่าเป็นพระธาตุที่มีความสูงที่สุดในภาคเหนือ หรือล้านนา คือ สูงประมาณ 80 เมตร เมตร ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างประมาณด้านละ 60 เมตร ถูกสร้างขึ้นในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 20 ถือว่าเป็นเจดีย์ที่มีความสำคัญที่สุดของเมืองเชียงใหม่

ส่วนในวิหารหลวงประดิษฐาน “พระอัฎฐารส” เป็นพระประธาน ล่อด้วยทองสำริด ปางห้ามญาติสูง 18 ศอก พระนางติโลกะจุดา ราชมารดาของพญาติโลกราช โปรดฯให้หล่อขึ้น โดยนับว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะสง่างามที่สุดในล้านนา โดยเฉพาะส่วนพระพักตร์มีลักษณะอ่อนโยน พระพุทธรูปยืนมีขนาดใหญ่ได้สัดส่วน เป็นศิลปกรรมร่วมสมัยกับพระพุทธรูปแบบล้านนาหรือพระสิงห์ ซึ่งได้รับอิทธิพลต้นแบบจากศิลปะปาละ (อินเดีย) (ปัจจุบันกำลังมีการบูรณะวิหารหลวง)

ในพื้นที่วัดยังมี “ศาลหลักเมือง” ซึ่งด้านในมีเสาหลักเมือง หรือ เสาอินทขิล ให้ได้เข้าไปสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล และที่อยู่ติดๆ กันก็คือ “ท้าวเวสสุวรรณ” ที่มีข้อมูลจารึกไว้ด้านหน้าว่า

พญายักขราช (ศาลใต้) สร้างวันเสาร์ ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 7 พ.ศ.2343 พระเจ้ากาวิละให้ก่อรูปกุมภัณฑ์ 2 ตน ไว้หน้าวัดโชติการาม (วัดเจดีย์หลวง) ยักษ์/กุมภัณฑ์ 2 ตนนี้ คอยพิทักษ์เสาอินทขิลหลักเมืองเชียงใหม่ (ตำนานเมืองเชียงใหม่ ฉบับพระพุทธิมา ผูก 7 หน้า 13)
 

พระวิหารหลวง วัดโลกโมฬี

พระวิหารหลวง วัดโลกโมฬี

 

พระรูปเหมือนพระนางจิรประภามหาเทวี

พระรูปเหมือนพระนางจิรประภามหาเทวี

 

เจดีย์ขนาดใหญ่ภายในวัดโลกโมฬี

เจดีย์ขนาดใหญ่ภายในวัดโลกโมฬี


ขอพรความรักจากพระนางจิรประภามหาเทวี วัดโลกโมฬี
“วัดโลกโมฬี” ไม่มีหลักฐานปรากฏอย่างแน่ชัดว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยใด แต่ได้ปรากฏชื่อวัดโลกโมฬีอยู่ในตำนานของวัดพระธาตุดอยสุเทพ ในยุคล้านนา สมัยพระเจ้ากือนาธรรมมิกราช ทรงโปรดอาราธนาให้คณะของพระอุทุมพรบุปผมหาสวามีเจ้า เมืองเมาะตะมะ จำนวน 10 รูป มาสืบทอดพระพุทธศาสนาในดินแดนล้านนา ซึ่งคณะสงฆ์เหล่านั้นได้จำพรรษาที่วัดโลกโมฬี อันเป็นสถานที่ใช้ในการต้อนรับพระราชอาคันตุกะจากต่างเมือง

กระทั่งต่อมาในปีพ.ศ. 2070 พญาแก้ว ได้โปรดให้สร้างพระมหาเจดีย์และพระวิหารหลวง ในปีพ.ศ. 2088 ได้มีการบรรจุพระอัฐิของพระเมืองเกษเกล้า ทางด้านกำแพงทิศเหนือของพระอาราม ซึ่งเป็นพระอารามหลวงประจำพระองค์ จากนั้นเสนาอำมาตย์จึงได้ทูลเชิญพระนางจิรประภามหาเทวี ขึ้นครองราชในปี พ.ศ. 2088 – 2089 อันเป็นช่วงเวลาที่เหล่าขุนนางเรืองอำนาจทำให้เมืองเชียงใหม่อ่อนแอ เป็นเหตุให้สมเด็จพระไชยราชาธิราช กษัตรย์อยุธยายกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่ แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระนางจิรประภามหาเทวี ซึ่งมีความรักและความเป็นห่วงไพร่ฟ้าประชาชนของพระองค์ จึงทรงรักษาเอกราชของบ้านเมืองไว้ได้ โดยไม่เกิดความสูญเสียใดๆ แม้แต่น้อย พร้อมกับทูลเชิญพระไชยราชาธิราชเสด็จมาทำบุญที่วัดโลกโมฬี และยังพระราชทานทรัพย์สร้างกู่พระเมืองเกษเกล้าให้สมพระราชเกียรติ ด้วยเหตุนี้พระนางจิรประภามหาเทวี จึงได้รับการยกย่องให้เป็น “เทพเจ้าแห่งความรัก” ตั้งแต่สมัยนั้นเป็นต้นมา ซึ่งภายในวัดก็ยังมีพระรูปเหมือนพระนางจิรประภามหาเทวี ประดิษฐานอยู่

สิ่งที่สำคัญภายในวัดคือ พระเจดีย์ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ลดหลั่นกัน 3 ชั้น ถัดขึ้นมาเป็นฐานบัวคว่ำบัวหงายย่อเก็จ องค์เรือนธาตุทรงสี่เหลี่ยมย่อเก็จ มีซุ้มจระนำ 4 ด้าน ที่องค์ เรือนธาตุประดับด้วยรูปเทวดารูปปั้นกึ่งลอยตัวที่ย่อมุม ด้านละ 2 องค์ ถัดขึ้นไปเป็นชั้นบัวถลารองรับองค์ระฆังสิบสองเหลี่ยม พระเจดีย์และลวดลายปูนปั้นที่วัดโลกโมฬีนี้ จัดได้ว่าเป็นศิลปกรรมแบบล้านนาชิ้นเอก ชิ้นหนึ่งในเมืองเชียงใหม่

ด้านหน้าวัดมีซุ้มประตูศิลปะล้านนา มีลวดลายปูนปั้นที่งดงาม หากมองเข้ามาด้านในจะเห็น “วิหารหลวง” เป็นวิหารไม้สักศิลปะแบบล้านนา ลักษณะงดงาม ประณีต มีลายแกะสลักอย่างสวยงาม ที่แปลกตาและเด่นมากก็คือตรงหน้าบันรูปจั่วได้ประดับกระจกสี ซึ่งทำให้เกิดสีสันหลากสีบนหลังคาวิหารที่มีพื้นโทนสีดำ ซึ่งพื้นดำนี้มีส่วนช่วยขับกระจกสีแดง ขาว น้ำเงิน เขียว เหลือง จนดูระยิบระยับ พระประธานในวิหาร เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ประดิษฐานอยู่ภายในวิหาร มีเพดานและต้นเสาแกะสลักลวดลายต่างๆ อย่างงดงาม พระพุทธรูปมีนามว่า “พระพุทธสันติจิรบรมโลกนาถ” และได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้บนพระเมาลี
 

วัดพระธาตุดอยคำ

วัดพระธาตุดอยคำ

 

หลวงพ่อพูดได้ วัดพระธาตุดอยคำ

หลวงพ่อพูดได้ วัดพระธาตุดอยคำ

 

หลวงพ่อทันใจ วัดพระธาตุดอยคำ

หลวงพ่อทันใจ วัดพระธาตุดอยคำ


กราบหลวงพ่อทันใจ วัดพระธาตุดอยคำ
“วัดพระธาตุดอยคำ” สร้างในปี พ.ศ.1230 รัชสมัยพระนางจามเทวีกษัตริย์แห่งหริภุญชัย โดยพระโอรสทั้ง 2 เป็นผู้สร้างในปี พ.ศ. 1230 ประกอบด้วยเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ศาลาการเปรียญกุฏิสงฆ์ และพระพุทธรูปปูนปั้น เดิมชื่อวัดสุวรรณบรรพต แต่ชาวบ้านเรียกว่า "วัดดอยคำ"

ขึ้นมาถึงด้านบนวัดแล้วจะเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ตั้งอยู่กลางแจ้ง ชื่อว่า “หลวงพ่อพูดได้” จากนั้นเดินเข้าไปด้านในวัด ไปสักการะพระธาตุดอยคำ และพระพุทธรูปสำคัญองค์ต่างๆ โดยเฉพาะ “หลวงพ่อทันใจ” ซึ่งสร้างขึ้นในรัชสมัยพญากือนา กษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนา ปัจจุบันมีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ มีผู้นิยมเดินทางมาขอพรและบนบานสานกล่าว เมื่อได้ผลสำเร็จสมดังที่ตั้งใจ ก็มักจะถวายดอกมะลิเพื่อแก้บน ซึ่งหากใครต้องการซื้อพวงมาลัยดอกมะลิเพื่อแก้บน จะมีขายอยู่หลายร้านบริเวณริมถนนปากทางเข้าอุทยานหลวงราชพฤกษ์

ไหว้พระทำบุญกันแล้ว อย่าลืมเดินออกมาบริเวณจุดชมวิวด้านนอก ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์รอบเมืองเชียงใหม่ได้อย่างชัดเจน รวมทั้งบริเวณสนามบินเชียงใหม่ และอุทยานหลวงราชพฤกษ์
 

พระธาตุดอยสุเทพ

พระธาตุดอยสุเทพ

 

พระธาตุดอยสุเทพ

พระธาตุดอยสุเทพ


สักการะพระธาตุดอยสุเทพ พระธาตุประจำเมืองเชียงใหม่
“พระธาตุดอยสุเทพ” สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ากือนาธรรมิกราช เจ้าเมืองเชียงใหม่องค์ที่ 6 โดยพระเจ้ากือนาทรงรับสั่งให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่พระมหาสุมนเถระ นำมาจากเมืองศรีสัชนาลัย ซึ่งได้ขุดพบจากนิมิตฝันของพระมหาสุมนเอง เมื่ออัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาสู่เชียงใหม่แล้ว พระธาตุได้แยกเป็นสองส่วน พระเจ้ากือนาทรงเลื่อมใส ได้อัญเชิญบรรจุไว้ที่พระธาตุวัดสวนดอก

ส่วนองค์ที่สอง ได้อัญเชิญขึ้นบนหลังช้างเพื่อเสี่ยงทายว่า ช้างหยุดที่ใด ก็จะสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุที่นั่น แล้วปล่อยช้างไป ช้างได้มุ่งหน้าไปสู่ทิศตะวันตก ขึ้นไปยังดอยสุเทวะฤาษี (ดอยสุเทพ) แล้วมาหยุดอยู่ที่ยอดดอย พระเจ้ากือนาทรงรับสั่งให้สร้างพระเจดีย์ ณ ที่นั้น มีขนาดสูง 5 วา

ในสมัยพระเมืองเกษเกล้า กษัตริย์องค์ที่ 12 ของเชียงใหม่ ได้ทำการบูรณะพระเจดีย์ โดยขยายพระเจดีย์ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม สูง 11 วา กว้าง 6 วา และให้ช่างนำทองคำมาทำเป็นรูปดอกบัวทองใส่บนยอดเจดีย์ และราชโอรสของพระเมืองเกษเกล้าได้ทรงตีทองคำแผ่นติดไว้ที่องค์พระธาตุ ต่อมา พระมหาญาณมงคลโพธิ์ วัดอโศการาม เมืองลำพูนได้สร้างบันไดนาคหลวงทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้ประชาชนขึ้นไปสักการะได้สะดวกขึ้น

ส่วนการสร้างถนนขึ้นสู่ยอดดอยสุเทพนั้น มาสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2477 โดยครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา ชักชวนชาวบ้านที่ศรัทธาให้ร่วมมือกันสร้างถนนจากเชิงดอยไปจนถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพ รวมระยะทางประมาณ 11 กิโลเมตร โดยใช้ระยะเวลาในการสร้างราว 6 เดือน

ปัจจุบัน วัดพระธาตุดอยสุเทพถือว่าเป็นสัญลักษณ์อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ ไม่ว่าชาวไทยหรือชาวต่างชาติหากว่ามาเที่ยวที่เชียงใหม่แล้วก็มักจะหาโอกาสมาเยี่ยมชมสักครั้งหนึ่ง

ที่มา:mgronline.com

http://www.richmantool.com

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมทดลองใช้ฟรี @689dmjkd



LINE : @689dmjkd

  • 089-844-7118
  • 089-894-7118